Q & A

CSL Auto Time ดึงดูดทุกสายตา ด้วยความเร็วและความแรงที่โดนใจ

1. Drag Racing คืออะไร แข่งขันกันอย่างไร ใช้ยางกระบะได้ไหม?

ถ้าพูดถึงคำว่า Drag Racing ก็คงพอเดาๆกันได้ ว่าอาจจะหมายถึง การแข่งขันรถยนต์ซักประเภทหนึ่ง แต่กฎ กติกา หรือ รถยนต์ในการแข่งขันนั้น ต้องเป็นอย่างไร ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา เรามาคลายความสงสัยกันก่อน ว่าการแข่งรถ มันเริ่มครั้งแรกที่ไหน ทำไมโลกใบนี้ถึงได้มีการแข่งขันรถยนต์เกิดขึ้นมา อะไรคือแรงบันดาลใจให้เกิดกิจกรรมหรือการแข่งขันขึ้นมา    การแข่งรถครั้งแรกของโลก ตามหลักฐานที่จดบันทึกเอาไว้ เป็นการแข่งรถในเส้นทางระหว่างกรุงปารีสกับเมืองรูอ็อง ของฝรั่งเศส เมื่อปี 2437 งานนี้ ผู้ที่ทำเวลาดีที่สุดในการแข่งขันก็คือท่านเค้าท์จูลส์ อัลแบร์ต เดอ ดิญง หากแต่ผู้คว้ารางวัลใหญ่ในการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ของโลกก็คือ อัลแบร์ต เลอเมตร์ ที่ขับรถ Peugeot Type 7 เครื่องยนต์น้ำมันที่ให้กำลัง 3 แรงม้า    การแข่งขันรถคันแรกที่จัดขึ้นในสหรัฐอเมริกาคือ “Vanderbilt Cup” ในปี 1904 ซึ่งเป็นการแข่งขันรถบนถนนครั้งแรกในอเมริกา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การแข่งขันรถยนต์ได้รับความนิยม และเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการแข่งขันระดับโลกเช่น “224 Hours of Le Mans” ที่เริ่มจัดขึ้นในปี 1923 และการแข่งขันฟอร์มูลาวันที่เริ่มในปี 1950 ทั้งนี้การแข่งขันรถยนต์ได้เป็นเหตุผลที่สำคัญในการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีในรถยนต์ และได้สร้างความสนุก และความตื่นเต้น ให้แก่ผู้ชม และนักแข่งขันรถยนต์ทั่วโลกตลอดเวลาและยังเป็นส่วนสำคัญ ของอุตสาหกรรมออโต้โมบิลในปัจจุบันด้วย

CSL เชื่อมต่อความหลงใหลในยานยนต์สู่ผู้ชมทุกคน

CSL ความเร็วที่คุณสัมผัสได้ พร้อมความมันส์ไม่รู้ลืม

CSL ปล่อยพลังแรงด้วยวิดีโอที่คนต้องว้าว

2. ประวัติศาสตร์ชาติ Drag เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

การแข่งขัน Drag Car จริงๆ แล้วถ้าแปลแบบตรงตัวคำว่า Drag Car จะแปลได้ว่าเป็นการ “ลากรถ” นั่นเอง การแข่งขัน Drag Car ในยุคแรกๆนั่น อาจจะเอารถที่เป็นรถลากสิ่งของ มาทำการแข่งขันกัน การวิ่งแข่งรถแดร็กเกิดขึ้นที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อประมาณปีค.ศ. 1930 ซึ่งในยุคนั้น ก็มีการใช้รถเพื่อการพาณิชย์ ใช้รถในชีวิตประจำวัน การขับรถใช้งานก็จะมีการขับเร็วบ้าง แซงกันบางซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปรกติของการใช้รถ     ใช้ถนน จนคนใช้รถบางกลุ่มที่ คิดว่าตัวเองขับรถเร็วอยู่แล้วจึงมาเจอกัน มาจับกลุ่มกันและประลองความเร็วกัน โดยสถานที่แข่งในยุคนั้นก็หนีไม่พ้นพื้นที่ในทะเสสาปที่แห้งคอด เพราะจะได้ไม่ไปกวนคนอื่นที่ใช้รถอยู่แล้ว โดยรถในสมัยนั้นสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว แต่พอหลัง จากสงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น ทำให้การขับรถแดร็กก็เงียบหายไป คนไม่ค่อยให้ความนิยมเท่าที่ควร แต่ก็มาถึงทุกวันนี้ก็ไม่ได้เงียบหายไป แต่ความนิยมก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ

CSL Auto Time เพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านเนื้อหาที่สร้างสรรค์

ซึ่งการแข่งขันส่วนใหญ่จะไปแข่งขันกันที่รันเวย์ของกองทัพทหารที่เลิกใช้งานในช่วงสงครามโลกไปแล้ว ซึ่งจัดแข่งขันขึ้นอย่างเป็นทางการอีกครั้งในปี 1949 ที่ฐานทัพอากาศโกลตา ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งการแข่งขันในตอนนั้นไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมาก ไม่มีไฟสัญญาณในการปล่อยตัว ไม่มีระยะเวลาให้ดูตอนเข้าเส้นชัย ระยะทางในการแข่งขันตอนนั้นก็ประมาณ ¼ ไมล์ ซึ่งเป็นความยาวของบล็อคเมืองในขณะนั้น ในส่วนของเรื่องความปลอดภัยไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีเป็นลายลักษณ์ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของนักแข่งเองในระหว่างที่แข่งขัน ส่วนคนดูก็ยืนดูตามความเหมาะสม เพราะในสมัยนั้น ยังไม่มีอัศจรรย์ให้คนดูได้นั่งดูและนั่งชมกัน     จึงได้เปลี่ยนการออกตัวมาเป็นแบบใช้สัญญาณไฟในการออกตัว เนื่องจากยุคหลังๆ ของรถแข่งแดร็กนั้นจะมีขนาดของรถที่ไม่เท่ากัน เพราะรุ่นที่ใช้ในการแข่งขันมากขึ้น รถแข่งแต่ละคัน ก็จะมีความยาว ความสั้น ไม่เท่ากัน บางคันรถแคบแต่ยาว บางคันกว้างแต่สั้น ดังนั้นจึงได้เปลี่ยนการออกตัว เป็นแบบดูสัญญาณไฟ   และการเข้าเส้นชัยแบบตัดสัญญาณ เป็นตัวบอกว่าใครเข้าเส้นชัยก่อน ซึ่งเรียกตัวสัญญาณไฟปล่อยตัวนี้ว่า The Christmas Tree Counting Down การทำงานก็จะเหมือนกับสัญญาณไฟในยุคปัจจุบันที่เราๆ เห็นกัน ถ้ารถเข้าจุดตามที่ต้องการ สัญญาณไฟ 2 ดวงบนจะติดค้าง ก่อนที่ไฟส้มจะติดสามดวงไล่ลงมา ก่อนจะมาถึงสัญญาณไฟเขียวเป็นการปล่อยตัวให้รถวิ่งไปข้างหน้า เและในยุค 1970 นี้เองก็มีกติกาการเบิร์นยาง ออกมา โดยก่อนที่จะทำการออกตัวก็จะ มีตำแหน่งในการเบิร์นยางให้อุณหภูมิของยางร้อนถึงจุดที่ใช้งานและทำให้เกาะถนนมากขึ้น ก่อนที่จะทำการแข่งขันต่อไป

นอกจาก Drag Racing แล้ว การแข่งขันรถยนต์ในปัจจุบัน มีกี่ประเภท ?

CSL Auto Time สนับสนุนแบรนด์ยานยนต์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

  • การแข่งเซอร์กิต

การแข่งประเภทนี้ จะมีหลากหลายรายการ แยกย่อยและเป็นที่นิยมกันทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยซึ่งนิยามของการแข่งขันแบบเซอร์กิต  คือแข่งขันรถยนต์บนทางเรียบ ที่มีทั้งทางตรงและทางโค้ง มีจุด Pit สำหรับเปลี่ยนยาง/เติมเชื้อเพลิงแข่งขันกันในสนามปิด มีจุดสตาร์ท และเส้นชัย โดยรายการแข่งขันที่น่าจะคุ้นหูมากที่สุดคือแข่งรถ F1 การแข่งรถ NASCAR หรือบ้านเราก็จะมีรายการ Thailand Super Series หรือ One Make Race   รายการแข่งรถยนต์ทางเรียบบนถนนปิด ผู้เข้าแข่งขันจะต้องใช้สมาธิอย่างสูงในการขับขี่รถยนต์ รวมถึงใช้ไหวพริบทักษะเฉพาะตัวการเข้าโค้ง การเหยียบเบรค เร่งแซง ทำเวลาต่อรอบให้เร็วที่สุดและบริหารจัดการยาง/น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างคุ้มค่าที่สุด

  • การแข่งดริฟต์

เป็นการแข่งขันที่ไม่เน้นความแรงบนทางตรงและการไปให้ถึงเส้นชัยเป็นอันดับแรก แต่ผลแพ้ชนะจะตัดสินกันที่การเข้าโค้งอย่างสวยงาม ลูกเล่นต่าง ๆ มุมองศาไลน์เข้าโค้งหรือความเร็วตอนเข้าโค้งนั่นเอง ฉะนั้นหัวใจหลักของการดริฟต์คื อการเข้าโค้ง โดยการให้รถเกิดอาการท้ายปัดหรือเรียกว่าโอเวอร์สเตียร์โดยที่ผู้ขับจะต้องเลี้ยงความเร็วให้คงที่และควบคุมไม่ให้รถหลุดออกจากโค้ง  เป็นการแข่งขันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง และยังให้ความสวยงามอีกด้วย โดยรถที่ใช้แข่งขันจะเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง เพราะว่าการถ่ายเทน้ำหนักและพละกำลังของรถประเภทนี้จะเหมาะสมที่สุดสามารถเข้าโค้งแบบดริฟต์ได้ดีที่สุด ส่วนนักแข่งจะต้องรู้จักการเข้าโค้งในไลน์ที่ถูกต้อง รู้จักควบคุมพวงมาลัยความเร็วรถและจัดการหน้ายางให้คุ้มค่าที่สุด

  • การแข่งแรลลี่

แข่งแรลลี่จะแตกต่างจากการแข่งที่ว่ามาทั้งหมดเพราะรายการนี้จะไม่ได้แข่งบนทางเรียบแต่จะไปลุยกันบนทางขรุขระทางดินเป็นหลักครับจะเป็นการแข่งขันจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งผ่านเส้นทางทุรกันดารและทางสาธารณะด้วยความเร็วสูงจะเป็นการแข่งขันเก็บคะแนน นอกจากนี้นักแข่งต้องใช้ 2 คนคือคนขับและเนวิเกเตอร์ทำหน้าที่บอกเส้นทาง  เสน่ห์ของแรลลี่มีหลายอย่างที่การแข่งบนทางเรียบให้ไม่ได้นั่นคือเส้นทางอันสุดโหดเพราะเป็นการแข่งทางดินเต็มไปด้วยหุบเขาทางชันและทางโค้งอันตราย ความสามัคคีเคมีที่ตรงกันระหว่างคนขับกับเนวิเกเตอร์ด้วยต้องเชื่อใจกันและกันสูงและการปรับแต่งรถยนต์ที่เน้นตะลุยทางดินเป็นหลัก

  • การแข่งยิมคาน่า

สำหรับการแข่งยิมคาน่านั้นจะมุ่งเน้นที่การควบคุมรถไปถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด (ทำเวลาน้อยที่สุด) ภายใต้สนามแข่งที่เต็มไปด้วยทางโค้งแคบกล่าวคือสนามแข่งจะมีกรวยตั้งเพื่อเป็นจุดกำหนดเลี้ยวจำนวนมากดังนั้นผู้แข่งจะสามารถทำความเร็วในระดับปานกลางและต่ำได้เท่านั้น นักแข่งจะต้องโฟกัสอยู่ที่การหักพวงมาลัย การเข้าเกียร์ การเหยียบเบรค ส่วนรถที่ใช้จะเป็นรถบ้านใช้งานเป็นหลัก (Street Use)   ถึงการแข่งยิมคาน่าจะไม่หวือหวาหรือดุดันเท่าการแข่งอื่น ๆ แต่ก็ทดแทนด้วยประโยชน์ของมันที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเช่นการเข้าโค้งให้ถูกไลน์หรือรู้ถึงขีดความสามารถของรถประจำตัวได้ว่าอยู่ในระดับไหน นอกจากนี้การแข่งยิมคาน่าเป็นการแข่งที่ใช้งบประมาณน้อยจึงเป็นที่นิยมสำหรับนักแข่งผู้เริ่มต้นที่ไม่มีงบมากพอและสามารถใช้รถบ้านในชีวิตประจำวันเข้าแข่งขันได้ด้วย

CSL Auto Time สร้างความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับพันธมิตรในวงการยานยนต์

CSL Auto Time ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ให้เป็นเครื่องมือหลักในการโปรโมท

การแข่งขันรถยนต์ แบบ Drag Races คืออะไร ?

“เจ้าสนาม ทางตรง” คำนี้คงนิยามการแข่งขันรถยนต์ประเภทแด็รกได้อย่างตรงไปตรงมา ทว่า การทดสอบสมรรถนะรถด้วยการแข่งขับที่ไม่ซับซ้อน

CSLAutoTime Drag Racing คือ เจ้าสนามทางตรง หรือ เป็นการแข่งขันความเร็วของรถยนต์บนเส้นทางที่เป็นเส้นตรงระยะสั้น โดยทั่วไปจะมีระยะทาง 1/4 ไมล์ (ประมาณ 402 เมตร) หรือ 1/8 ไมล์ (ประมาณ 201 เมตร) โดยผู้เข้าแข่งขันจะเร่งความเร็วตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงเส้นชัย การแข่งขันนี้เน้นที่การเร่งความเร็วจากจุดเริ่มต้นและทักษะการควบคุมรถเพื่อให้ทำความเร็วได้สูงที่สุดในระยะเวลาสั้น ๆ

ประเภทของการแข่งรถยนต์ในปัจจุบัน

การแข่งขันรถยนต์ในปัจจุบันมีหลากหลายประเภทที่นิยมจัดขึ้นทั่วโลก โดยแต่ละประเภทมีลักษณะและกฎกติกาที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างของประเภทการแข่งรถมีดังนี้:

1. **Drag Racing** – การแข่งทางตรงระยะสั้น เน้นการเร่งความเร็วสูงสุดตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเส้นชัย

2. **Circuit Racing** – การแข่งขันบนสนามที่มีเส้นทางโค้งและตรงหลายรูปแบบ เช่น Formula 1, Touring Car, และ GT Racing

3. **Rally Racing** – แข่งบนเส้นทางที่เป็นธรรมชาติ เช่น ถนนลูกรังหรือภูเขา โดยใช้เวลาในการแข่งขันเพื่อหาผู้ที่ทำเวลาได้ดีที่สุด

4. **Drifting** – การขับรถด้วยการสไลด์ของล้อหลังขณะเลี้ยวบนสนามที่กำหนด โดยคะแนนจะถูกตัดสินจากทักษะการควบคุมรถ ความแม่นยำ และความสวยงามในการดริฟต์

5. **Off-Road Racing** – การแข่งในเส้นทางที่ไม่ใช่ถนน เช่น บนทรายหรือโคลน รถที่ใช้จะต้องมีความแข็งแกร่งและทนทานต่อสภาพเส้นทางที่ยากลำบาก

6. **Time Attack** – การแข่งขันเพื่อทำเวลาให้เร็วที่สุดบนสนาม โดยรถแต่ละคันจะแข่งกันในเวลาที่กำหนด

7. **Endurance Racing** – การแข่งรถที่เน้นความทนทานของรถและคนขับ โดยการแข่งขันจะกินระยะเวลานาน เช่น 6 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง เช่น Le Mans 24 Hours

8. **Street Racing** – การแข่งรถที่จัดในถนนสาธารณะ ซึ่งผิดกฎหมายในหลายประเทศและมีความเสี่ยงสูง

CSL Auto Time สร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ชมผ่านเนื้อหาที่ตื่นเต้น

CSL Auto Time ยกระดับมาตรฐานการผลิตเนื้อหา Drag Race ในประเทศไทย

การแข่งขันรถ “Drag Racing” มีกติกาอย่างไร ?

การแข่งขันรถยนต์แต่ละประเภทมีเอกลักษณ์และความท้าทายที่แตกต่างกันไป ทำให้ผู้ขับขี่ต้องมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสมเพื่อให้ประสบความสำเร็จในสนามนั้น ๆ นอกจากนี้ ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งรถทุกรูปแบบเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้.  กฎกติกาของการแข่งรถแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกัน แต่มีองค์ประกอบทั่วไปที่สำคัญ ดังนี้:

CSL Auto Time เป็นแรงผลักดันให้กับนักแข่งและผู้หลงใหลในความเร็ว

  1. **กฎความปลอดภัย**: ผู้ขับขี่และรถแข่งต้องมีอุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสม เช่น หมวกกันน็อค เบาะนิรภัย และระบบดับเพลิง รวมถึงต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนการแข่งขัน
  2. **กฎการเริ่มต้นและเส้นชัย**: มีการกำหนดจุดเริ่มต้นและจุดเส้นชัยชัดเจน โดยเฉพาะใน Drag Racing ที่ต้องมีไฟสัญญาณ (Christmas Tree) ควบคุมการเริ่มต้น
  3. **กฎการตัดสินเวลา**: ใช้ระบบจับเวลาอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความแม่นยำสูง เช่น ใน Time Attack หรือ Drag Racing เพื่อหาผู้ชนะ
  4. **กฎเกี่ยวกับประเภทของรถและเครื่องยนต์**: แต่ละประเภทของการแข่งขันจะกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับประเภทและขนาดของเครื่องยนต์ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการแข่งขัน เช่น กำหนดขนาดเครื่องยนต์ใน Touring Car
  5. **การลงโทษสำหรับการทำผิดกติกา**: การออกจากเส้นทาง การชนคู่แข่ง หรือการเริ่มต้นก่อนสัญญาณไฟ จะทำให้ถูกลงโทษ เช่น การลดอันดับ การปรับเวลา หรือการตัดสิทธิ์ในการแข่งขัน
  6. ระยะการแข่งขันที่มักใช้ในDrag Racingได้แก่ 1/4 ไมล์ (ประมาณ 402 เมตร) และ 1/8 ไมล์ (ประมาณ 201 เมตร) ซึ่งนักแข่งต้องวิ่งผ่านระยะนี้ให้เร็วที่สุด.
  7. การชนรถยนต์หรือการออกนอกทางแข่งขันมักจะทำให้นักแข่งและรถยนต์เสียหายอย่างร้ายแรง การป้องกันความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ นักแข่งจะต้องใส่หมวกความปลอดภัยและใส่เข็มขัดนิรภัย เสมอ.   
  8. นักแข่งจะต้องประกาศข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์และความเร็วเป็นอย่างถูกต้อง เพื่อให้ตัวบริเวณการแข่งขันเตรียมการได้อย่างเหมาะสม.   
  9. การแข่งขันDrag Racingอาจมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแต่งรถ เพื่อให้การแข่งขันเป็นธรรมที่สุด    ผลการแข่งขันจะตัดสินโดยนักแข่งที่ขับผ่านเส้นชัยก่อน โดยมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการตรวจวัดเวลาและความเร็ว. 
  10. การแข่งขันรถยนต์แบบDrag Racingเป็นกิจกรรมที่มีกติกาที่เข้มงวดและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อให้สิงห์ทางตรงสามารถเข้าร่วมได้อย่างปลอดภัยและมีความสนุกสนานที่สุด.


ความหมายคอนเทนต์ VLOG(Vdo+Blog) , Viral Clip, VDO Promotion

ผลสำรวจ Digital Thailand  พบว่าคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตมากถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน โดยร้อยละ 99 นั้นใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อรับชมวิดีโอและฟังเพลง แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือยูทูบ (Youtube) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมวิดีโอหลากหลาย content ไว้ในที่เดียว และผู้ที่สนใจหรือมือใหม่สมัครเล่นยังสามารถโพสต์คลิปวีดีโอของตนเองลงแพลตฟอร์มนี้ได้อีกด้วย ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดกว้างสำหรับผู้คนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ปัจจุบันมี vlogger หรือเป็นที่นิยมเรียกกันว่า YouTuber เป็นจำนวนมากและหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าหรือมือใหม่ก็ล้วนได้รับความนิยมไปตามๆกัน      Vlog กำเนิดจากการรวมตัวระหว่าง video กับ blog เข้าด้วยกัน ซึ่งจะเสนอเรื่องราวต่างๆผ่านสื่อวิดีโอ แต่เดิมทีเราจะคุ้นเคยกับคำว่าบล็อกเสียมากกว่า Blog ก็คือการเขียนเรื่องราวต่างๆหรือเรื่องที่เจ้าของกระทู้ให้ความสนใจเป็นพิเศษผ่านตัวอักษรและเแต่งเติมความน่าสนใจโดยการแนบรูปภาพประกอบ จุดเด่นของ vlog ที่ผู้รับชมต่างให้ความสนใจก็คือ ไลฟ์สไตล์และวิธีการนำเสนอเนื้อหา  ที่ดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก รูปแบบการนำเสนอเรื่องราว การลำดับข้อมูลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และการตัดต่อที่ลื่นไหล หรือความคมชัดของวิดีโอ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเจ้าของวิดีโอ อยากจะให้วิดีโอออกไปทางแนวไหน เนื้อหาจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเหล่านั้น

CSL Auto Time สร้างความตื่นเต้นทุกวินาที สะท้านวงการ Drag Race

ไอเดียง่ายๆในการสร้างคลิปวีดีโอนั้น ให้สังเกตจากสิ่งรอบๆตัวว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง เช่น รีวิวรถยนต์: พาคุณสู่ประสบการณ์การรีวิวรถยนต์สุดพิเศษ ผ่านวิดีโอที่ถ่ายทำโดยลูกค้า ตัดต่ออย่างประณีต นำเสนอจุดเด่น ฟีเจอร์เด็ด เทคโนโลยีล้ำสมัย และประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น   สัมผัสการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ ผ่านวิดีโอเทสต์ไดรฟ์ที่ตัดต่ออย่างตื่นเต้น เร้าใจ กระตุ้นให้ลูกค้าอยากลองขับด้วยตัวเอ นำเสนอข้อมูลรถยนต์ รูปลักษณ์ดีไซน์ โปรโมชั่นสุดพิเศษ ผ่านวิดีโอพรีเซนต์ที่น่าสนใจ กระชับ ชัดเจน 

     นอกเหนือไปจากการที่เราจะมีไอเดียดีๆในการสร้างคลิปวีดีโอนั้น คงเหมือนกับ ‘Love at First Sight’ เพราะตัวแปรที่จะดึงดูดผู้คนให้คลิกเข้ามาดูคลิปวีดีโอคุณคือภาพหน้าปกของคลิปวีดีโอ (thumbnail) ซึ่งมีอิทธิพลมากในการประกอบการตัดสินใจของผู้รับชม เปรียบได้กับปกหนังสือที่สามารถดึงดูดสายตาผู้รักการอ่าน แต่คงหนีตัวแปรที่สำคัญที่สุดไปไม่ได้เลยคือ คุณภาพของคลิปวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำ การตัดต่อ หรือแม้กระทั่งการเลือกเพลงประกอบคลิปวิดีโอ ล้วนแต่ส่งผลต่อภาพรวมของคลิปทั้งสิ้น

VLOG โปรโมท เป็นวิดีโอที่ผลิตขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์ในการสนับสนุนการขาย หรือกิจกรรมทางการตลาดที่เฉพาะเจาะจง เพื่อบอกเล่าความคิดริเริ่มหรือวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์และบริการ โดยวิดีโอโปรโมทถูกออกแบบมาให้สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชม (ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย) เพื่อให้ผู้ชมเกิดความสนใจและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวสินค้า บริการ หรือโครงการนั้นๆ 

CSL แปลงการแข่งให้เป็นการตลาดที่ทรงพลัง

CSL สร้างสื่อที่พาคุณไปไกลกว่าคู่แข่งทุกเจ้า

CSL เชื่อมต่อความหลงใหลในยานยนต์สู่ผู้ชมทุกคน

ตัวอย่างของการทำ VLOG โปรโมท

  1. วิดีโอสินค้า (Products Video)
  2. วิดีโอเปิดตัวผลิตภัณฑ์ (Product Launch Video)
  3. วิดีโออีเว้นท์ (Event Video)
  4. วิดีโออธิบาย (Explainer Video)
  5. วิดีโอโฆษณา (Video Ad.)
  6. วิดีโอรีวิวลูกค้า (Testimonial Video)
  7. วิดีโอโปรโมทรูปแบบสารคดี (Documentary/Advocacy)

ขั้นตอนการถ่าย Vlog โปรโมท

ขั้นตอนการถ่าย vlog ไม่ได้ยากอย่างที่หลายๆคนคิด เพียงแค่ต้องเลือกหัวข้อที่สนใจ, ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ หรือเป็นเรื่องที่เป็นกระแสขณะนั้น พูดง่ายๆก็คือการที่เรามีแพชชั่นกับสิ่งๆที่กำลังถูกถ่ายทอดลงในคลิปวีดีโอนั้นๆ ซึ่งจะกลายเป็นข้อได้เปรียบในการสร้างคอนเทนท์ที่ดึงดูดสายตาใครต่อใคร  เพราะการสร้างคอนเทนท์ขึ้นมาจากแพชชั่นที่แท้จริงนั้นจะทำให้วีดีโอนั้นมีความลื่นไหล และเป็นธรรมชาติ และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ทางเรารวบรวมขั้นตอนการทำvlog ให้คุณได้เข้าใจแบบง่ายๆ

CSL Auto Time บันทึกทุกความเร็ว สร้างภาพลักษณ์ที่ทุกคนต้องจดจำ

ขั้นตอนการทำ

  1. เนื้อหาน่าสนใจในด้านต่างๆ (ยานยนต์, รถมอไซด์, ฟิล์มติดรถยนต์, ล้อแม็กซ์, น้ำมันเครื่อง หรืออื่นๆ) และที่สำคัญต้องไม่ออกนอกทะเลไปไกลมากนัก
  2. สถานที่ แสงประกอบฉาก เลือกถ่ายในที่มีแสงเข้าถึง มุมที่ดูแล้วสบายตา
  3. น้ำเสียงหลากหลายโทน มีจังหวัขึ้นลงน่าฟัง ท่าทางหรือภาษากายเป็นไปอย่างธรรมชาติ
  4. เลือกเพลงที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิดีโอ รวมไปถึงโปรแกรมตัดต่อ
  5. กล้องDSLR, Action Camera, ไม้กันสั่น, ไมค์ไร้สาย หรืออุปกรณ์อื่นๆ


การติดต่อจ้าง Influencer รีวิวสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยานยนต์

1. กำหนดเป้าหมายของการจ้าง Influencer ในครั้งนั้น

หลายคนอาจคิดว่าการจ้าง Influencer สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้แบรนด์ได้เพียงอย่างเดียว แต่ความเป็นจริงแล้ว การร่วมงานกับ Influencer สามารถเป็นประโยชน์กับแบรนด์ในหลายด้าน เราจึงต้องมีการกำหนดให้ชัดเจนว่าเป้าหมายสำหรับแคมเปญ Influencer ในครั้งนี้คืออะไร    ตัวอย่างเป้าหมายในการทำแคมเปญกับ Influencer:

  • เพิ่ม Brand Awareness: การที่ Influencer พูดถึงแบรนด์ของเราตอนรีวิวสินค้า อาจทำให้คนกลุ่มใหญ่ในสังคมจำแบรนด์เราได้มากขึ้น ชื่อแบรนด์เราติดหูมากขึ้น ส่งผลดีกับแบรนด์ของเราในระยะยาว
  • เพิ่มยอดคนเข้าชมเว็บไซต์: การรีวิวสินค้าของ Influencer อาจทำให้คนที่สนใจเข้ามาดูหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าในเว็บไซต์ของเรา เป็นโอกาสให้เราได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าเพิ่ม สามารถนำไปใช้ปรับแผนการตลาดได้ในอนาคต หรืออาจใช้โอกาสนี้เสนอโปรโมชันสินค้าตัวอื่น ๆ เพิ่มได้อีก
  • เพิ่มยอด Engagement หรือยอด Follow บนโซเชียลมีเดียของแบรนด์: หลังจากที่คนเห็นรีวิวสินค้าของ Influencer เขาอาจจะสนใจเข้าไปดูคอนเทนต์อื่น ๆ ของแบรนด์เพิ่ม จนนำไปสู่การไลก์โพสต์ แชร์โพสต์ หรือติดตามแบรนด์ที่มากขึ้นได้

CSL Auto Time เปลี่ยนการแข่งเป็นคอนเทนต์ที่ทำให้สินค้าโดดเด่น

CSL Auto Time เราคือผู้นำด้านคอนเทนต์ความเร็ว ที่ช่วยเพิ่มพลังให้แบรนด์คุณ

  2. กำหนดวิธีการวัดผลลัพธ์ที่จับต้องได้

นอกจากการกำหนดเป้าหมายแล้ว เราต้องมีการกำหนด KPI (Key Performance Indicator) ที่ชัดเจนด้วย ซึ่งชัดเจนในที่นี้หมายความว่า ควรเป็นตัวเลขที่สามารถวัดผลได้ และมีระยะเวลากำหนด

ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายคือการเพิ่ม Brand Awareness ตัว KPI ของเราไม่ควรเป็น “คนพูดถึงแบรนด์ในโซเชียลมีเดียมากขึ้น” แต่อาจเป็น “คอนเทนต์รีวิวสินค้าของ Influencer นั้นต้องได้อย่างน้อย 100,000 Impressions (จำนวนครั้งที่คนเห็นคอนเทนต์) ภายใน 1 สัปดาห์”

CSL ปล่อยพลังแรงด้วยวิดีโอที่คนต้องว้าว

CSL Auto Time สร้างความประทับใจในทุกสปีด สร้างชื่อเสียงในทุกคลิป

  3. กำหนดงบประมาณ

งบประมาณที่เรามีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินว่าเราจะสามารถจ้าง Influencer ระดับไหนได้บ้าง สามารถให้ Influencer ทำรีวิวกี่คอนเทนต์ และรูปแบบของคอนเทนต์จะเป็นแบบไหน หากเรามีงบประมาณสูง เราสามารถเลือกจ้าง Influencer ที่มีจำนวน Follower สูงได้ แต่ถ้าเรามีงบประมาณที่จำกัด เราอาจเลือกจ้างเป็น Micro Influencer (Follower ตั้งแต่ 5,000 – 100,000 คน) หลาย ๆ คน และเลือกเป็นคอนเทนต์รีวิวแบบโพสต์ภาพนิ่งหรือวิดีโอสั้นที่ราคาไม่สูงเท่าวิดีโอยาว

 4. กำหนดสินค้าและ Key Message ที่ต้องการให้ Influencer สื่อสารในรีวิวนั้น

หากแบรนด์ของเรามีสินค้าหลายแบบ เราต้องเลือกว่าต้องการให้ Influencer รีวิวสินค้าชิ้นไหน ต้องการให้พูดถึงจุดเด่นของสินค้าว่าอย่างไร อยากให้คนจำอะไรเกี่ยวกับสินค้าได้มากที่สุด เพราะหากเราไม่ได้กำหนดในจุดนี้ Influencer อาจรีวิวถึงสรรพคุณอื่น ๆ ของสินค้าที่ไม่ได้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องการ   นอกจากนี้ เราควรคำนึงถึงด้วยว่าต้องการให้คนเกิดความรู้สึกอย่างไรเมื่อนึกถึงสินค้าของเรา เช่น ถ้าเราอยากให้สินค้าของเราดูมีความเป็นมืออาชีพ น่าเชื่อถือ คอนเทนต์รีวิวสินค้าที่ Influencer ทำออกมาก็ต้องมี Mood and Tone ที่สอดคล้องกันด้วย

CSL ทำให้สินค้าของคุณโดดเด่น ผ่านทุกช็อตการแข่ง

CSL ให้ทุกคลิปเป็นสื่อที่ทำให้แบรนด์ของคุณติดลมบน

5. พูดคุยและเซ็นสัญญากับ Influencer

 ท้ายที่สุด สิ่งที่เราขาดไม่ได้ คือ การตกลงกับ Influencer อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า พวกเขาต้องโพสต์คอนเทนต์รีวิวสินค้าจำนวนกี่คอนเทนต์ เป็นรูปแบบภาพนิ่งหรือวิดีโอ บนโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มไหน ภายในวันที่เท่าไหร่ ก่อนที่ Influencer จะโพสต์ เราสามารถขอดูคอนเทนต์และแก้ไขก่อนได้หรือไม่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังนั่นเอง

ทั้งหมดนี้คือขั้นตอนคร่าว ๆ ในการจ้าง Influencer รีวิวสินค้า หากคุณสนใจร่วมงานกับ Influencer หรือต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคการทำ Influencer Marketing ให้ประสบผลสำเร็จ สามารถรับคำปรึกษาเพิ่มเติมได้กับ Motive Influence

———————————————–

การรีวิวสินค้าสำคัญอย่างไรกับการขายของออนไลน์

การรีวิวสินค้าถือได้ว่ามีความสำคัญต่อการขายของออนไลน์ และมีส่วนในการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้า โดยการรีวิวจะสร้างความมั่นใจก่อนการซื้อสินค้า ทำให้คนทั่วไปที่เข้ามาอ่านรีวิวกลายมาเป็นลูกค้า และยังทำให้ลูกค้าได้รู้สรรพคุณของสินค้า ได้รู้วิธีการใช้งาน เมื่อลูกค้าได้อ่านรีวิวจนเกิดความเข้าใจ ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายมากขึ้น อีกทั้งร้านค้ายังดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และเมื่อมีการซื้อสินค้าบ่อยๆ ธุรกิจการขายของออนไลน์ก็จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทางร้านค้าก็จะเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

CSL Auto Time เพิ่มความฮือฮาให้กับสินค้า ด้วยคอนเทนต์ Drag Race ที่แตกต่าง

รูปแบบวิธีรีวิวสินค้าที่ได้รับความนิยม

1.การถ่ายรูปรีวิวสินค้า

การรีวิวสินค้าด้วยรูป เป็นการรีวิวที่ง่ายแต่ได้ใจความมากๆ เพราะทำให้ลูกค้าได้เห็นภาพขอสินค้าว่าสินค้าเป็นอย่างไร หากถ่ายรูปของสินค้าด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย มีวิธีถ่ายรีวิวสินค้าที่ดี ทำให้รูปที่ออกมามีความโดดเด่น ก็จะช่วยเพิ่มความสนใจให้กับสินค้า ทำให้สินค้ามีความน่าซื้อมากยิ่งขึ้น

2.การถ่ายวิดีโอรีวิวสินค้า

การถ่ายวิดีโอรีวิวสินค้า จัดว่าเป็นหนึ่งการรีวิวที่ได้รับความนิยมและได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะการทำคลิปรีวิวสินค้า ทำให้ลูกค้าได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าตัวของสินค้าเป็นแบบไหน มีวิธีการใช้งานแบบใด ทั้งยังได้เห็นตัวสินค้าอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาพนิ่งอย่างเดียว

3.การเขียนรีวิวสินค้า

การเขียนรีวิวสินค้าเป็นการรีวิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะการเขียนรีวิวเป็นการอธิบายรายละเอียดของสินค้า ว่าตัวของสินค้ามีสรรพคุณ มีประโยชน์ หรือมีวิธีการใช้อย่างไร เมื่อลูกค้าเข้าใจจนเกิดความสนใจในตัวของสินค้า ก็จะทำให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้น

เคล็ดลับในการจ้างรีวิวสินค้าโดยอินฟลูเอนเซอร์

CSL Auto Time สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้สินค้า ด้วยความเร็วที่คนต้องพูดถึง

รู้ไว้ก่อนจ้าง เพื่อให้แบรนด์ของคุณเพิ่มความน่าเชื่อถือ และ ช่วยเพิ่มยอดขาย นี่คือเคล็ดลับในการจ้างรีวิวสินค้าโดยอินฟลูเอนเซอร์ที่เจ้าของธุรกิจควรให้ความสำคัญ

1. ประเภทของ Influencer ที่คุณต้องการจ้างรีวิวสินค้า

อินฟลูเอนเซอร์ มีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการ Influencer ประเภทไหน? ซึ่งแต่ละประเภทจะแบ่งตามจำนวนผู้ติดตาม ความเชี่ยวชาญ ดังนี้

– Nano Influencers

กลุ่มนี้จะมีผู้ติดตามตั้งแต่ 1,000 คนขึ้นไป ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง ค่าใช้จ่ายไม่สูง เหมาะกับ ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจที่ต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง

– Micro Influencers

กลุ่มนี้จะมีผู้ติดตามตั้งแต่ 10,000 คนขึ้นไป ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างกว่า และมี Engagement สูงกว่าแบบ Nano อีกทั้งค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก  Nano เหมาะสำหรับ ธุรกิจขนาดกลาง ธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์

– Macro Influencers

กลุ่มนี้จะมีผู้ติดตามตั้งแต่ 100,000 คนขึ้นไป ซึ่งข้อดีของอินฟลูเอนเซอร์ในกลุ่ม Macro คือ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง มี Engagement สูง มีอิทธิพลต่อผู้ติดตามจำนวนมาก เหมาะกับแบรนด์ที่มีงบประมาณปานกลาง

– Mega Influencer 

กลุ่มนี้จะมีผู้ติดตามตั้งแต่ 1,000,000 คนขึ้นไป ส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าบรรดา เซเลบริตี้ ดารา นักแสดง กลุ่มนี้มีผู้ติดตามจำนวนมากและมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของผู้คนจำนวนมาก จึงเหมาะสำหรับการทำการตลาดในวงกว้าง เนื่องจากมียอด Engagement ที่สูงมาก

CSL Auto Time ดึงดูดทุกสายตาด้วยคลิปที่พาแบรนด์ของคุณทะยานไปข้างหน้า

CSL Auto Time เสริมสร้างความแรงให้แบรนด์คุณ ผ่านทุกคลิป Drag Race

2. เลือกอินฟลูเอนเซอร์และกำหนดรูปแบบการจ้างรีวิวสินค้า

หลังจากที่เราได้ทราบถึงประเภทของ อินฟลูเอนเซอร์ ไปแล้ว ทีนี้ก็จะมาถึงขั้นตอนของการวางเป้าหมายของคุณแล้วว่า การจ้างรีวิวสินค้าของคุณนั้น มีวัตถุประสงค์อย่างไร เพื่อเพิ่มยอดขาย เพื่อสร้าง Brand Awareness หรือต้องการสร้าง Engagement บนช่องทางโซเชียลมีเดียของแบรนด์ กำหนดให้ชัดเจน

3. ให้ความอิสระแก่ Influencer ในการสร้างคอนเทนต์

Influencer ที่ดีควรมีสไตล์และวิธีการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้น คุณควรให้ความอิสระแก่ Influencer ในการสร้างคอนเทนต์รีวิวสินค้า กำหนดเพียงประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อสาร แต่ไม่ควรบังคับให้ Influencer รีวิวสินค้าในเชิงบวกเกินจริง

4. ติดตามผลการทำงานของ Influencer อย่างใกล้ชิด

หลังจากตกลงและจ้างรีวิวสินค้า เรียบร้อยแล้ว คุณควรติดตามผลการทำงานของ Influencer อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่า Influencer ทำงานตามตกลงหรือไม่ รีวิวสินค้าตรงประเด็นหรือไม่ และมี Engagement กับผู้ติดตามมากน้อยแค่ไหน

5. จ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม

ค่าตอบแทนของ Influencer นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้ติดตาม ประเภทของเนื้อหา ความยากง่ายของงาน คุณควรจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับ Influencer เพื่อเป็นการดึงดูด Influencer ที่ดีและมีคุณภาพ

แน่นอนว่า การจ้างรีวิวสินค้าโดย อินฟลูเอนเซอร์ เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ อย่างไรก็ตาม การจ้างรีวิวสินค้าโดยการใช้อินฟลูเอนเซอร์ ที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และ เพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณได้

——————————————————————-

CSL Auto Time ขับเคลื่อนแบรนด์ของคุณไปข้างหน้า ด้วยคอนเทนต์ที่โดดเด่น

วิธีจ้างอินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมตแบรนด์

ก่อนที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ จะต้องรู้วิธีจ้างอินฟลูเอนเซอร์สำหรับแคมเปญของคุณ การค้นหาผู้มีอิทธิพลที่เหมาะสมและสร้างพันธมิตรใหม่ ๆ เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักการตลาดทุกคน แต่การว่าจ้างผู้มีอิทธิพลไม่ยากและซับซ้อนเหมือนที่ใครหลายคนกังวล ตราบใดที่คุณรู้ว่าคุณต้องการรับสมัครอินฟลูเอนเซอร์ประเภทใด เรทราคา Influencer ที่วางไว้มีเท่าใด และความคาดหวังสำหรับแคมเปญคืออะไร เท่านี้คุณก็สามารถเริ่มกระบวนการจ้างงานได้แล้ว

หากคุณยังใหม่กับการตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์หรือกำลังมองหาวิธีปรับปรุงการสรรหาอินฟลูเอนเซอร์และการเริ่มต้นจ้างงาน คำแนะนำแบบทีต่อไปนี้จะช่วยให้คุณทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์ได้ง่ายขึ้น

#1 ระบุอินฟลูอินเซอร์ที่ชื่นชอบ

ขั้นตอนแรกคือการรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลที่คุณต้องการร่วมงาน ควรมีรายการตรวจสอบคุณสมบัติในใจเพื่อช่วยให้คุณเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะกับแบรนด์มากที่สุด ด้วยการวิเคราะห์จากปัจจัยตัวอย่าง ดังนี้

  • ผู้ชมของ Influencer – ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คุณหรือไม่?
  • เนื้อหาของ Influencer – สอดคล้องกับคุณค่าแบรนด์ของคุณหรือไม่?
  • ประสิทธิภาพของ Influencer – พวกเขาสร้างการมีส่วนร่วมหรือไม่?

มีหลายกลยุทธ์ที่สามารถใช้เพื่อค้นหาอินฟลูเอนเซอร์สำหรับแคมเปญได้ แต่คุณควรเลือกกลยุทธ์จากการพิจารณาจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ที่คุณต้องการจ้าง เรทราคา Influencer และขนาดทีมของคุณ 

#2 ข้อเสนอมูลค่าและค่าตอบแทน

เมื่อเชิญอินฟลูเอนเซอร์ให้ร่วมงานกับแบรนด์ สิ่งสำคัญคือต้องให้สิ่งจูงใจแก่พวกเขาในการมีส่วนร่วม การเป็นหุ้นส่วนต้องเป็นประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้นการเสนอข้อเสนอที่น่าสนใจจะช่วยให้คุณได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี การนำเสนอคุณค่าที่มีประสิทธิภาพอาจรวมถึงผลิตภัณฑ์ฟรี คำเชิญเข้าร่วมงาน และสิทธิประโยชน์ของแบรนด์วีไอพี นอกเหนือไปจากการชำระเงินด้วยเงิน ในฐานะแบรนด์ คุณต้องการหาสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการเสนอข้อเสนอค่าตอบแทนที่น่าดึงดูดในไม่ว่าจะเป็นเสนอผลิตภัณฑ์ฟรี มีรหัสส่วนลด หรือการเข้าถึงผลิตภัณฑ์พิเศษก่อนใคร สิทธิพิเศษเหล่านี้มีมูลค่าการรับรู้ของอินฟลูเอนเซอร์สูงกว่าต้นทุนจริงของแบรนด์ 

#3 การเข้าถึงอินฟลูเอนเซอร์

ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญของวิธีการจ้างอินฟลูเอนเซอร์คือการติดต่อเพื่อเชิญพวกเขาให้เข้าร่วมแคมเปญของคุณ คุณต้องเขียนข้อความเชิญชวนที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำแบรนด์ เป้าหมาย เพื่อทำให้อินฟลูเอนเซอร์สนใจลงชื่อสมัครใช้แคมเปญของคุณ การเขียนเชิญครั้งแรกควรชัดเจนและไม่ยาวเกินไป เพราะอินฟลูเอนเซอร์ต้องการข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อให้พวกเขาสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าต้องการมีส่วนร่วมหรือไม่ แม้ว่าข้อความของคุณควรจะสั้น แต่ก็คุ้มค่าที่จะใส่รายละเอียดส่วนบุคคลเล็กน้อย คุณสามารถอ้างอิงโพสต์ล่าสุดที่คุณชอบ หรือเน้นว่าคุณค่าแบรนด์ของคุณสอดคล้องกับอินฟลูเอนเซอร์อย่างไร 

#4 การเจรจาต่อรอง

เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ของคุณมีส่วนร่วมในแคมเปญของคุณแล้ว ต่อไปคือการเจรจาเงื่อนไขของการเป็นหุ้นส่วน ซึ่งหมายถึงการตกลงเรื่องค่าตอบแทน ระยะเวลา และความคาดหวัง จะดีกว่าถ้าคุณเสนอค่าตอบแทนล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ฟรี ค่าธรรมเนียม หรือโอกาสในการรับค่าคอมมิชชั่น ไม่มีคำแนะนำที่ตายตัวสำหรับค่าตอบแทนให้กับอินฟลูเอนเซอร์ เพราะอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคน มีเรทราคา Influencer ที่ต่างกัน เมื่อมีการหารือเกี่ยวกับการเจรจา ให้ตั้งเป้าหมายในการเป็นหุ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ควรสร้างความสมดุลระหว่างความพยายามจากอินฟลูเอนเซอร์กับค่าตอบแทนที่พวกเขาจะได้รับ

#5 สรุปแคมเปญ

บทสรุปของแคมเปญการตลาดที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์ควรแชร์กับอินฟลูเอนเซอร์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจเป้าหมายและความคาดหวังของแคมเปญได้อย่างเต็มที่ บทสรุปของแคมเปญควรนำเสนอรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับแคมเปญ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ เช่น ไทม์ไลน์ คำแนะนำในการผลิตเนื้อหา สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ หากคุณมีแคมเปญที่ซับซ้อนซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่าง หรือต้องการให้อินฟลูเอนเซอร์ปฏิบัติตามแนวทางบางอย่าง การหารือเกี่ยวกับบทสรุปก่อนจ้างอินฟลูเอนเซอร์จะเป็นประโยชน์ 

#6 สัญญาว่าจ้างผู้มีอิทธิพล

ขั้นตอนสุดท้ายที่จำเป็นในการจ้างอินฟลูเอนเซอร์คือการสร้างและลงนามในสัญญา การสร้างข้อตกลงหรือสัญญาของอินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรช่วยสร้างความไว้วางใจ อีกทั้งยังเป็นการสรุปกระบวนการจ้างงานโดยการกำหนดข้อตกลงและเงื่อนไขของคุณและขอให้ทั้งสองฝ่ายแสดงความเคารพโดยการลงนามในเอกสาร 

ตอนนี้คุณรู้วิธีจ้างอินฟลูเอนเซอร์สำหรับแคมเปญแล้ว 6 ขั้นตอนข้างต้นจะช่วยให้คุณสร้างความไว้วางใจและรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความมั่นใจในผลลัพธ์ของแคมเปญ 

หากคุณต้องการหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะกับภาพลักษณ์และมีคาแรคเตอร์ที่เข้ากับแบรนด์ของคุณ สามารถติดต่อปรึกษา อินฟลูเอนเซอร์ คลับ ประเทศไทย ผู้ปรึกษาทางด้าน อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง (Influencer Marketing) ตามความต้องการทางธุรกิจของท่าน วางแผนแคมเปญการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์ และเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมตั้งแต่ระดับธุรกิจขนาดเล็กจนถึงระดับมหภาค เพื่อการรับรู้ถึงสินค้า บริการ และให้กับแบรนด์องค์กรของท่าน เรียนรู้ไปกับเราว่า อินฟลูเอนเซอร์คืออะไร

—————————————————————————–

CSL Auto Time โปรโมทสินค้าของคุณแบบเต็มสปีด ด้วยคอนเทนต์ที่ไม่ซ้ำใค

Influencer Marketing การตลาดสำหรับเพิ่มยอดขาย พร้อมเรทราคาจ้าง

Influencer Marketing หรือ KOL Marketing เป็นหนึ่งในเทคนิคการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด ซึ่งแบรนด์หรือเจ้าของกิจการ สามารถกำหนดต้นทุนมากน้อยแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ของแคมเปญ ประเภทของ Influencer และแพลตฟอร์ม Social Media ความถี่ในการโพสต์ ฯลฯ

เรทรีวิวสินค้า ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

หลังจากที่เราได้ทราบถึงประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ และเรทราคาของแต่ละประเภทไปแล้ว ก็ต้องบอกว่าเรทรีวิวสินค้าของอินฟลูเอนเซอร์สามารถขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อค่าจ้างและผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างมีนัยสำคัญ และนี่คือปัจจัยหลัก ๆ ที่มีผลต่อเรทรีวิวสินค้า

 1.จำนวนผู้ติดตาม

จำนวนผู้ติดตามเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดเรทรีวิวสินค้า อินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามมากจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างขึ้น ทำให้ค่าจ้างสูงขึ้นตามไปด้วย

2. การมีส่วนร่วม (Engagement)

การมีส่วนร่วมของผู้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็น การกดไลก์ การคอมเมนต์ และการแชร์ เป็นปัจจัยที่มีผลต่อเรทรีวิว หากอินฟลูเอนเซอร์มีการมีส่วนร่วมสูง เรทรีวิวสินค้าก็จะสูงตามไปด้วย

3. ประเภทของคอนเทนต์

ประเภทของคอนเทนต์ที่อินฟลูเอนเซอร์สร้างขึ้น เช่น วิดีโอ รูปภาพ หรือบทความ มีผลต่อเรทรีวิวสินค้า วิดีโอมักจะมีค่าจ้างสูงกว่ารูปภาพเนื่องจากใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าในการผลิต

4. ประเภทของสินค้า

เรทรีวิวสินค้าอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของสินค้า เช่น สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง เทคโนโลยี หรือ  อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือมีมูลค่าสูงอาจต้องใช้งบประมาณมากขึ้น

เทรนด์การใช้โซเชียลมีเดียนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตปัจจุบัน ยิ่งมีคนใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นเท่าไหร่จึงทำให้เกิดอาชีพมาใหม่เรียกว่า Influencer คือคนที่มีบทบาท อิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ พฤติกรรมคนบนโลกออนไลน์ที่ทำให้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของคนอื่นๆ Influencer ไม่เพียงแค่จะมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากแล้ว ยังสามารถเล่าเรื่องหรือ Storytelling เพื่อทำการตลาดให้กับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มยอดขายให้อย่างมหาศาลและเพิ่มกลุ่มลูกค้าได้วงกว้างเพียงไม่กี่วัน

Influencer Marketing คืออะไร ความสามารถทำการตลาดแบบจูงใจ

Influencer Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่แต่ละแบรนด์จะใช้ Influencers มาโฆษณาเพื่อโปรโมทสินค้าหรือบริการ โดยจะมุ่งเน้นไปใน Social Media ในการแชร์เนื้อหารายละเอียดสินค้าบริการให้กับผู้ติดตามได้รับรู้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มยอดขาย โปรโมทแบรนด์แล้วการทำ Influencer Marketing ช่วยขยายกลุ่มลูกค้าให้รับรู้ถึงแบรนด์ได้มากขึ้น สร้างความน่าเชื่อถือต่อธุรกิจทำให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพของสินค้าบริการ เนื่องจากผู้ติดตาม Influencers มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือหรือถูกจูงใจไปกับสิ่งที่เห็นจากการรีวิว ทดลองใช้อย่างทันที

ประเด็นสำคัญ Key Point  การทำ Influencer Marketing ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างและรวดเร็ว  Influencer ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ธุรกิจ  ควรเลือก Influencer ให้ตอบโจทย์กับความต้องการของแบรนด์   คอนเทนต์ควรมีความน่าดึงดูด

วัดผลลัพธ์ด้วย KPI เช่น ยอด Engagement Rate, ยอดขาย Affiliate เรทค่าจ้างของ Influencer ขึ้นอยู่กับ Scope งานและปัจจัยต่างๆ

CSL Auto Time แปลงการแข่งให้เป็นการตลาดที่ทรงพลัง

ประเภทของ Influencer แบ่งตามยอด Follow

  • Nano-Influencers ผู้ติดตามน้อยกว่า 1,000 คน

Nano-Influencers เป็นคนที่เริ่มต้นกำลังมีฐานแฟนๆ ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มผู้ติดตามน้อยกว่า 1,000 คน ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากในกลุ่มขนาดเล็กเช่น ตามมหาลัย, โรงเรียน, กลุ่มเพื่อนๆ พวกเขามักจะมีการมีส่วนร่วม Engagement ที่สูงกว่า Influencers ที่มีฐานลูกค้าที่ใหญ่กว่าส่งผลให้การโฆษณาหรือโปรโมชั่นที่แชร์มีความน่าเชื่อถือสูง นับได้ว่าเป็นข้อดีสำหรับแบรนด์ขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัดที่สามารถใช้  Nano-Influencers ในการสร้างการรับรู้แบรนด์และเพิ่มยอดขายได้

  • Micro-Influencers มีผู้ติดตามระหว่าง 1,000 – 100,000 คน

Micro-Influencers คือคนที่มียอด Follower ระหว่าง 1,000 – 100,000 คน บนโลก Social Media เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง มีแนวคิดมุมมองเป็นของตัวเองมากขึ้น การแสดงความคิดเห็นมุมมองต่อสินค้าด้านต่างๆ จะชัดเจนมากขึ้น จึงทำให้แบรนด์เริ่มมียอดขายมากขึ้น เนื่องจาก Influencers มีความมั่นใจในความรู้ที่ตัวเองสนใจเช่น เทคโนโลยี, อาหาร, ความงาม, เครื่องสำอาง

การทำโฆษณา Influencer Marketing กับประเภทนี้จะได้กลุ่ม Audience ที่มีแนวโน้มเป็นลูดค้ามากที่สุด ทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ติดตามยอด Follower เป็นคนชื่นชอบในเรื่องคล้ายๆกับ Influencer

  • Macro-Influencers มีผู้ติดตามระหว่าง 100,000 ถึง 1,000,000 คน

Macro-Influencers มีผู้ติดตาม 100,000 ถึง 1,000,000 คน Influencers กลุ่มนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากพอสมควรและเป็นที่รู้จักกันดีในวงการ Social Media, ในหมู่เซเลป คนดัง อีกอย่างคนกลุ่มนี้ส่วนมากมักจะสนิทเป็นเพื่อนกัน ทำให้คอนเทนต์โปรโมทของธุรกิจรู้จักไปยังคนอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วจำนวนมาก และมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความชอบได้หลากหลาย   ยังไงก็ตามการใช้ Influencer Marketing ในประเภทนี้อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงเนื่องจากพวกเขามียอด Follower ที่เยอะถ้าหากเป้าหมายกลยุทธ์คือเพิ่มการรับรู้แบรนด์อย่างรวดเร็วและวงกว้างการใช้ Macro-Influencers ก็จะตอบโจทย์มากที่สุด

  • Mega-Influencers มีผู้ติดตามมากว่า 1,000,000 คน

Mega-Influencers เป็น Influencer ที่มีคนรู้จักอย่างกว้างขวาง ซึ่งพวกเขามักจะเป็นคนดังในวงการบันเทิง, คนที่โดดเด่นในเรื่องเฉพาะด้านเช่น ด้าน IT, ด้านหมอ, ด้านสุขภาพ ด้วยความที่มีผู้ติดตามหลักล้านคน พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตนเอง เขาจะมีการเลือกรับงานบางอย่างเท่านั้นเพื่อที่จะ Keep ความเป็นมือโปร ความไว้ใจ สำหรับธุรกิจที่อยากจะร่วมงานกับ Influencer ผู้ติดตามหลักล้านก็ควรที่จะทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์เป็นที่ยอมรับในกลุ่มของลูกค้าวงกว้างก่อน เพราะจะทำให้มีโอกาสร่วมงานกับ Influencer ได้อย่างง่ายและเป็นพาร์ทเนอร์ต่อไปในระยะยาว

CSL Auto Time ทุกความเร็วเป็นเรื่องราว และทุกเรื่องราวสร้างแบรนด์

              นอกจากนี้ธุรกิจก็ควรคำนึงเรื่อง ROI ที่จะได้กลับมาเพื่อเมคชัวร์ว่า สิ่งที่ได้กลับมาจะคุ้มค่ากับการลงทุน

เรทราคาค่าจ้าง influencer ในไทยแต่ละแพลตฟอร์ม  ปัจจัยการกำหนดราคาขึ้นอยู่กับหลายอย่างเช่น ความยาก-ง่ายของคอนเทนต์, จำนวนครั้งในการแก้ไข, ความรู้เฉพาะทางหรือ Niche ของอินฟลูเอนเซอร์ , ความดังบนโลก Social Media

ระดับอินฟลูเอนเซอร์
– Mega-Influencer / 1,000,000 and up Followers
– Macro-Influencer / 100,000 – 1,000,000 Followers
– Medium-Influencer / 50,000 – 100,000 Followers
– Micro-Influencer / 10,000 – 50,000 Followers
– Nano-Influencer & Prosumer / 1,000 – 10,000 Followers
.
TikTok Post
– Mega-Influencer / 80,000 – 300,000 บาท
– Macro-Influencer / 30,000 – 100,000 บาท
– Medium-Influencer / 10,000 – 30,000 บาท
– Micro-Influencer / 5,000 – 10,000 บาท
– Nano-Influencer & Prosumer / 3,000 – 5,000 บาท
.
Facebook Post
– Mega-Influencer / 100,000 – 250,000 บาท
– Macro-Influencer / 80,000 – 150,000 บาท
– Medium-Influencer / 30,000 – 80,000 บาท
– Micro-Influencer / 5,000 – 25,000 บาท
– Nano-Influencer & Prosumer / 3,500 – 5,000 บาท
.
Instagram Post
– Mega-Influencer / 150,000 – 300,000 บาท
– Macro-Influencer / 100,000 – 200,000 บาท
– Medium-Influencer / 50,000 – 80,000 บาท
– Micro-Influencer / 5,000 – 25,000 บาท
– Nano-Influencer & Prosumer / 3,500 – 5,000 บาท
.
YouTube Post
– Mega-Influencer / 300,000 – 800,000 บาท
– Macro-Influencer / 150,000 – 250,000 บาท
– Medium-Influencer / 50,000 – 100,000 บาท
– Micro-Influencer / 15,000 – 50,000 บาท
– Nano-Influencer & Prosumer / 5,000 – 10,000 บาท
.
X (Twitter) Post
– Mega-Influencer / 45,000 – 100,000 บาท
– Macro-Influencer / 30,000 – 45,000 บาท
– Medium-Influencer / 8,000 – 25,000 บาท
– Micro-Influencer / 5,000 – 8,000 บาท
– Nano-Influencer & Prosumer / 2,000 – 5,000 บาท
.
*ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น                 
– Scope of Work ที่ให้อินฟลูเอนเซอร์ทำ                
– ความ Niche (เฉพาะทาง) ของสายอินฟลูเอนเซอร์               
– Fame Factor (ความดังในช่องทางอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก Social Media)             
– ซื้อขาดคอนเทนต์หรือเปล่า  
– ซื้อเป็น Bulk Rate (เหมาคอนเทนต์หลายชิ้น) หรือเปล่า     

——————————————————————————

CSL Auto Time ให้สินค้าและแบรนด์ของคุณวิ่งเต็มสปีดในโลกออนไลน์

ต้องยอมรับว่า “งบประมาณ” เป็นปัจจัยสำคัญของแคมเปญในการร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ นักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่าต้องการใช้อินฟลูฯ กลุ่มใด โปรโมตแพลตฟอร์มไหน ให้เค้าทำอะไรบ้าง ควรระบุให้ชัดเจน เบื้องต้นอินฟลูฯ อาจตั้งค่าจ้างโดยอิงจากจำนวนผู้ติดตาม จากนั้นอินฟลูก็จะมองความยากง่ายในเนื้อหาของชิ้นงานมาประกอบในการพิจารณาด้วย ข้อมูลจาก Influencer Marketing Hub ซึ่งได้เก็บข้อมูลจากการใช้แพลตฟอร์ม Social Media ของนักการตลาด พบว่า แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการทำ Influencer Marketing ปี 2023 คือ

  • TikTok (55.5%)
  • Instagram (50%)
  • Facebook (42.1%)
  • YouTube (38.3%)
  • Twitter (14.4%)

จะเห็นว่า TikTok ได้รับความนิยมเพิ่มมากที่สุด รองลงมาเป็น Instagram และ Facebook ทั้งนี้ทาง Influencer Marketing Hub ได้แบ่ง Categories ของ Influencer ไว้ ซึ่งในบางประเทศอาจจะมีการแบ่ง Categories ของ Influencer ย่อยเป็น Mid-tier influencer
เราขอจัดกลุ่มอินฟลูฯ ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับค่าบริการการโพสต์ของ Influencer ฝั่งยุโรปแต่ละกลุ่ม และแต่ละแพลตฟอร์มกันว่าพวกเขาคิดค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์เท่าไร แต่สำหรับค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์ไทยเอง ทุกวันนี้มีหลายเว็บไซต์ออกมาพูดถึงตัวเลขค่าตัวอินฟลูฯ ซึ่งตัวเลขที่ออกมานั้นมีความแตกต่างกัน อาจเพราะเกณฑ์ที่ใช้วัดไม่เหมือนกัน แล้วทุกคนสงสัยไหมว่าอะไรบ้างที่เป็นตัวชี้วัดค่าจ้างอินฟลูฯ

จากข้อมูลข้างต้น เป็นเพียงการเก็บข้อมูลของ influencer ในฝั่งยุโรปเป็นหลัก อาจไม่ตรงกับ influencer ไทยทั้งหมด อย่างไรก็ตามข้อมูลเหล่าเป็นค่าเฉลี่ยที่ช่วยให้คุณคำนวณค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์คร่าวๆ ในการร่วมงานกับ Influencer ได้

สิ่งสำคัญคือ ค่าใช้จ่ายมากหรือน้อยมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น โจทย์ทางการตลาดหรือประเภทธุรกิจ เช่น วิดีโอรีวิวใน YouTube จำนวน 1 ชิ้น ธุรกิจยานยนต์อาจมีค่าใช้จ่ายในการจ้างอินฟลูเอนเซอร์สายยานยนต์ มากกว่าอินฟลูเอนเซอร์สายอาหาร/คาเฟ่ก็ได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงรูปแบบคอนเทนต์ (ภาพ, วิดีโอ หรือ Blog) และแพลตฟอร์มที่เลือกใช้ก็มีผลเช่นกัน

 ——————————————————————————

CSL Auto Time บันทึกทุกช่วงเวลาแห่งความแรง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง

ประโยชน์ Influencer Marketing ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของโลกออนไลน์บนแอพพลิเคชั่นต่างๆ ทำให้หลายๆแบรนด์เลือกใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing ซึ่งถือได้ว่าเป็นการตลาดยุคใหม่ในการสร้าง Brand Awareness ผ่านแพลตฟอร์ม Social Media เพื่อขยายปริมาณการรับรู้ไปสู่สายตาของลูกค้าที่หลากหลายแบบรวดเร็ว

กลยุทธ์ของ Influencer Marketing

1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายและรวดเร็ว

ผู้ติดตามของ Influencer ส่วนมากแล้วมักจะเป็นคนที่ชื่นชอบคอนเทนต์ที่พวกเขาทำ ซึ่งคาดเดาได้ว่าคนที่ติดตามมักจะชอบอะไรๆที่คล้ายๆกับคอนเทนต์ของ Influencer ที่เคยทำ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลากหลายและรวดเร็วนั้นจะเริ่มต้นจากยอด Follower เล็กๆน้อยๆ ที่ติดตามเพราะความชอบ สไตล์ผลงานเจ้าตัว Influencer เอง ไม่เพียงแต่จะเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากแล้วยังสามารถครอบคลุมถึงกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบที่แบรนด์ต้องการเข้าถึงได้อย่างเจาะจงมากขึ้น

2. เพิ่มความน่าเชื่อถือ

การเพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวแบรนด์นับว่างเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ยิ่งอยู่ในยุคที่ข้อมูลเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วแล้ว นักการตลาดจะต้องนำเสนอ จัดเรียงข้อมูลเนื้อหาให้มีความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า อย่างไรก็ตามการเลือก Influencer Marketing  ทำการตลาดเพิ่มความน่าเชื่อถือจะต้องเลือกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจให้ได้มากที่สุด เพื่อตอกย้ำความน่าเชื่อถือแบบทวีคูณ ไม่เพียงเท่านี้การจ้างอินฟลูเอนเซอร์ช่วยรีวิวสินค้า พวกเขาจะวิเคราะห์ออกแบบ Content Marketing ให้น่าสนใจกระตุ้นการดูคอนเทนต์จนจบเพื่อเพิ่มโอกาสทำให้เกิด Conversion ได้สูง

3. เพิ่มยอดขาย

นับได้ว่าเป็นเป้าหมายหลักคือการเพิ่มยอด Conversion ยอดขายให้กับธุรกิจ ถ้าหากมีการวางแผนการทำกลยุทธ์ดีๆแล้ว มีการเลือกใช้ Influencer เหมาะสมกับงาน ใช้เนื้อหาที่จะสื่อกับกลุ่มเป้าหมายชัดเจนและตรงประเด็น ก็จะช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างมหาศาล และนักการตลาดจำเป็นที่จะต้องกำหนดตัวชี้วัดว่ายอดขายจริงๆแล้วมาจาก Influencer จำนวนเท่าไหร่ทั้งนี้อาจจะตั้งไว้ว่า กรอก Code ส่วนลดนี้จะลดไปกี่บาท หากทำแบบนี้ธุรกิจเองก็สามารถตรวจสอบหลังบ้านได้ว่ามีลูกค้ากี่คนที่กรอก Code นี้เป็นส่วนลด หรือ การทำ Affiliate Marketing ตามแพลตฟอร์มต่างๆที่จะให้ลูกค้า “กดตะกร้าเซื้อสินค้า” จากนั้นธุรกิจสามารถนำยอดคลิกมาคำนวณผลตอบแทน ROI ได้ทันที

——————————————————————————

CSL Auto Time ทำให้คนรู้จักสินค้าของคุณ ด้วยคอนเทนต์การแข่งที่เป็นเอกลักษณ์

กลยุทธ์การทำ Influencer Marketing ที่เห็นผลชัดเจน

การตัดสินใจที่จะทำ Influencer Marketing จำเป็นจำต้องวางแผนให้เป็นขั้นเป็นตอนก่อน เนื่องจากการจ้างงาน Influencer มีค่าใช้จ่ายที่สูงเป็นต้นทุนในการโฆษณา เพื่อที่จะบริหารต้นทุนให้เกิดคุณภาพมากที่สุดการวางแผนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ โดยขั้นตอนการทำกลยุทธ์ Influencer Marketing มีดังนี้

1. เลือก Influencer ที่เหมาะสม

อันดับแรกสุดคือจะต้องเลือก Influencer หลายๆคน โดยวิธีเลือกนั้นจะต้องโฟกัสว่าคนๆนั้นทำคอนเทนต์เนื้อหาอะไรเป็นหลักและรายละเอียดภาพรวมนั้นแมตช์กับตัวแบรนด์ของเราเองรึป่าว หลังจากนั้นแล้วก็ควรที่จะดูยอดผู้ติดตามว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน (จำไว้ว่า Influencer ที่ทำเนื้อหาคอนเทนต์บางอย่างอาจจะมีผู้ติดตามไม่มากเมื่อเทียบกับเนื้อหาอย่างอื่น)

เมื่อได้รายการ Influencer มาจำนวนนึงแล้วต่อไปนักการตลาดจะต้องเปรียบเทียบราคาเพื่อดูว่าคนไหนเสนอราคาดีกว่าและมีคุณภาพมากกว่า ซึ่งอาจจะเปรียบเทียบจากยอดคนดูในแต่ละคลิป ยอดคอมเม้น ยอดกดหัวใจ กดไลค์ หรืออาจจะดูความถี่ของการลงคอนเทนต์ก็ได้

2. เลือกเนื้อหาให้ตรงประเด็น กระชับ เข้าใจง่าย

หัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ามามีส่วนร่วมมากที่สุดคือ การดึงดูดด้วยเนื้อหาที่น่าสนใจ กระตุ้นความดูเนื้อหาไปจนจบ การเลือกเนื้อหาจะต้องมีความแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม (แพลตฟอร์ม Social Media แต่ละอย่างจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป) เช่น คอนเทนต์ในรูปแบบ Text เนื้อหาจะเหมาะกับ Facebook, คอนเทนต์ที่เป็นรูปจะเหมาะกับ IG, Facebook และคอนเทนต์ที่เป็นคลิปสั้นๆจะเหมาะกับ TikTok มากกว่า    นอกจากนี้การเปิดประเด็นคอนเทนต์ช่วงต้นนับได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่กำหนดได้เลยว่าลูกค้าจะกดเข้าไปอ่านหรือดูเนื้อหาต่อไปจนจบหรือไม่ ทั้งนี้ก็จะต้องมีการวางแผนเรื่องทำ Content Marketing ให้น่าสนใจตั้งแต่แรกเห็นเพื่อดึง Traffic เข้ามายังธุรกิจ

3. การวัดผล Influencer Marketing

ขั้นตอนการวัดผลจะเป็นการประเมินว่าธุรกิจได้ลองทำ Influencer Marketing แล้วผลลัพธ์ออกมาตรงตามกับคิดไว้รึป่าว ผลตอยแทนที่ได้กลับมาคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ เพราะฉะนั้นแล้วจำเป็นที่ต้องกำหนด KPI ที่วัดผลได้ย่างชัดเจนเช่น อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate), จำนวนผู้ติดตามหน้าเพจธุรกิจเพิ่มขึ้น, จำนวนยอดขายผ่าน Affiliate การประเมินผล KPI นี้จะเป็นข้อมูลที่นำไปใช้อ้างอิงว่า ”เราควรจะไปต่อหรือพอแค่นี้”

สรุป

การทำการตลาดผ่าน Influencer หรือ Influencer Marketing เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในยุคที่ Social Media ได้เปิดตัวออกมาใหม่และมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีอาชีพอย่าง Influencerที่คอยมาช่วยดันยอดขาย เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ต่างๆที่มาทำการตลาดร่วมกันเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ไม่เพียงเท่านี้การเลือก Influencer ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายถือเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้การโฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง

CSL Auto Time “เสริมทัพให้แบรนด์ของคุณ ด้วยคลิปการแข่งที่โดนใจ

7 ขั้นตอนทำ Influencer Marketing ให้ปัง

              พอพูดถึง Influencer Marketing ทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าเป็นการทำการตลาดในรูปแบบไหน เพราะปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ระดับโลก ต่างใช้เทคนิค Influencer Marketing ในการกระตุ้นยอดขายกันทั้งนั้น พออะไรที่ Mass มักตามมาด้วยคู่แข่งเยอะ ทำให้บางครั้งผลลัพธ์ที่ได้จากการทำการตลาดอินฟลูฯ ไม่ได้ประสิทธิภาพตาม ROI ที่ตั้งไว้ แบบนี้ Influencer Marketing ยังเวิร์คอยู่หรือเปล่า? ข้อมูลจาก Hubspot บอกว่า 92% ของนักการตลาดเชื่อว่า Influencer Marketing เป็นแนวทางการตลาดที่ยังคงมีประสิทธิภาพ และ 89% ของนักการตลาดที่จัดทำแคมเปญการตลาดอินฟลูเอนเซอร์อยู่แล้ว มีแนวโน้มเพิ่มงบประมาณการลงทุนกับ Influencer มากขึ้น  แล้วทำ Influencer Marketing แบบไหนถึงเวิร์ค? เป็นคำถามที่หลายคนคงสงสัยกันใช่ไหม บทความนี้จะพาทุกคนมารู้จัก 7 ขั้นตอนทำ Influencer Marketing อย่างไรให้เวิร์ค สร้าง awareness engagement conversion ที่มีประสิทธิภาพ

1. กำหนดจุดประสงค์ของแคมเปญ

ก่อนเริ่มทำ Influencer Marketing แบรนด์จำเป็นต้องกำหนดจุดประสงค์ของแคมเปญออกมาให้ชัดเจนก่อนว่าต้องอะไร เช่น แคมเปญสร้าง awareness(สร้างการรับรู้) แคมเปญสร้าง engagement(กระตุ้นให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม) หรือ แคมเปญ conversion(สร้างยอดขาย) เมื่อเรากำหนดจุดประสงค์ของแคมเปญได้อย่างชัดเจน จะช่วยให้รู้ว่าต้องทำ Influencer Marketing ในทิศทางทางไหน

2. มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน

ต้องบอกว่า target ถือเป็นสิ่งสำคัญในการจัดทำแคมเปญ ว่าเราต้องการสร้างแคมเปญแบบไหน ไปยังกลุ่มเป้าหมายอะไร เพื่อให้การสื่อสารกับผู้บริโภคมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ต้องการทำแคมเปญสร้าง awareness เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ให้ลูกค้ารู้จักสินค้าเยอะ ๆ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ชอบออกไปทำกิจกรรม outdoor ช่วงอายุ 18-35 ปี เน้นเพศหญิงเป็นหลัก เป็นต้น เมื่อแบรนด์ลิสต์กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนได้แล้ว จะช่วยวางแผนการทำการตลาดอินฟลูฯ ง่ายขึ้น

3. เข้าใจถึงธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมาย

อย่างที่นักการตลาดหรือเจ้าของแบรนด์ทุกคนรู้ดีกว่า กลุ่มเป้าหมายนั้นมีความแตกต่างกันทั้งความชอบส่วนตัว ไลฟ์สไตล์ ช่วงอายุ ฯลฯ ทำให้บางครั้งการจัดทำแคมเปญอาจจับกลุ่มผู้บริโภคได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

ดังนั้น เราต้องเข้าใจธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมายก่อนว่า พวกเขาชอบเสพสื่อจากโซเชียลมีเดียไหน? มีพฤติกรรมการสั่งซื้อสินค้าอย่างไร? ซึ่ง 72% ของ GenZ และ Millennials ชอบติดตาม Influencer ที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกับตัวเองบนโซเชียลมีเดีย และ 50% ของเจน Millennials เชื่อคำแนะนำจากอินฟลูเอนเซอร์ จากข้อมูลตรงนี้ ทำให้เห็นว่า อินฟลูฯ มีอิทธิพลต่อผู้บริโภค แบรนด์จำเป็นต้องวิเคราะห์ว่า กลุ่มเป้าหมายของคุณ มีแนวโน้มติดตามอินฟลูเอนเซอร์ประเภทไหนมากที่สุด เมื่อรู้ถึง Insight ตรงนี้แล้ว จะทำให้เลือก Influencer มาจัดทำแคมเปญตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้า

4. Recheck-Fake Follower

Influencer Marketing คือ รูปแบบการตลาดที่ใช้ บุคคลที่มีอิทธิพล หรือที่เรียกว่า อินฟลูเอนเซอร์ เป็นตัวกลางในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นขั้นตอนการ Recearh Influencer จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ แบรนด์ต้องค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่ภาพลักษณ์เหมาะกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ และเจ้าของธุรกิจต้องดูด้วยว่ากระแสในช่วงนั้นอินฟลูฯ คนไหนกำลังมา กำลังปัง พร้อมกับเช็กภาพรวม engagement และ Fake Follower อีกด้วย

ทำไมต้องดู Fake Follower ด้วย?

มี Influencer จำนวนไม่น้อยที่ใช้วิธีการปั่นยอดผู้ติดตามและยอดการเข้าถึงให้มีจำนวนมาก เพื่อดึงดูดนักการตลาด แบรนด์ หรือแม้กระทั่งบริษัท Influencer Marketing เลือกตัวเองในการทำแคมเปญ โดย Facebook ได้รายงานตัวเลขบัญชีปลอม 827 ล้าน บัญชี (ไตรมาสที่ 3 ปี 2023) เมื่อมี Fake Follower จำนวนมาก ส่งผลต่อผลลัพธ์ของแคมเปญที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ

5. Social Media

ปัจจุบันนี้มีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, TikTok, YouTube, X, Lemon8, Linkedin ฯลฯ ซึ่งแต่ละ Social Media ก็จะมีคอนเทนต์ลักษณะแตกต่างกันออกไป รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละแพลตฟอร์มที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย แบรนด์ที่ต้องการทำ Influencer Marketing ต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณนิยมใช้แพลตฟอร์มไหนเป็นหลัก เพื่อจะได้เลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์โปรโมตแคมเปญบนโซเชียลมีเดียให้ตรงตามพฤติกรรมของผู้บริโภค

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โซเชียลมีเดียที่คนไทยนิยมปี 2023

6. Create content

อีกหนึ่งสิ่งในการทำการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ขาดไม่ได้ นั่นคือ Content ที่แบรนด์ต้องกำหนด guideline หรือเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า บรีฟงาน ให้กับอินฟลูเอนเซอร์ ว่า key message, รูปแบบคอนเทนต์ เช่น ภาพถ่าย คลิปวิดีโอสั้น คลิปวิดีโอยาว, แฮ็ชแท็ก เป็นต้น เพื่อให้คอนเทนต์ที่ Influencer ผลิตออกมาเป็นไปตามทิศทางที่แบรนด์ต้องการสื่อสารกับผู้บริโภค แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคงความเป็นสไตล์ของอินฟลูฯ ไว้ด้วย เพราะอินฟลูเอนเซอร์จะมีความเข้าใจ follower ของตัวเองดีว่าชอบคอนเทนต์สไตล์ไหน

7. Campaign Insight & report

CSL Auto Time สร้างสื่อที่พาคุณไปไกลกว่าคู่แข่งทุกเจ้า

หลังจากจบแคมเปญแล้ว แบรนด์ต้องนำผลลัพธ์ที่ได้จากการทำแคมเปญมาเพื่อวิเคราะห์ถึงแนวทางการทำการตลาดในครั้งถัดไป เพื่อให้หาเทคนิคทำแคมเปญที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 7 ขั้นตอนในการทำ Influencer Marketing หากมองจากขั้นตอนดังกล่าวจะเห็นว่า กว่าแคมเปญที่ใช้อินฟลูเอนเซอร์จะออกมาเสร็จสมบูรณ์ ทำแล้วเวิร์ค เกิดยอดขายเข้ามานั้น ต้องใช้เวลาที่ยาวนานในการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผลลัพธ์จึงจะเป็นที่พอใจ Motive Influence ของเราก็มีขั้นตอนการทำการตลากอินฟลูฯ คล้าย ๆ 7 ขั้นตอนนี้ แต่เราได้นำเทคโนโลยี AI เข้าในช่วง Save Time สร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพภายในระยะเวลารวดเร็ว พออ่านถึงตรงนี้ ทุกคนมีแอบกังวลใช่ไหมว่าให้ระบบ AI เข้ามา ต้องบอกว่าเทคโนโลยีของ Motive Imfluence ได้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้คัดกรองอินฟลูเอนเซอร์ที่มีคุณภาพมอบให้ลูกค้า ทำให้ Motive Influencer มีเพียงขั้นตอนการทำ Influencer Marketing คุณภาพ 4 ขั้นตอน ดังนี้

1. แบรนด์สามารถระบุรายละเอียด

จุดประสงค์ของแคมเปญผ่านแบบฟอร์มได้ Motive Influencer ของเรามีแบบฟอร์มสำหรับแบรนด์ หรือบริษัท สำหรับกรอกข้อมูลต่าง ๆ ที่นี่ www.motiveinfluence.com/brands หรือ contact@motiveinfluence.com เพื่อให้ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของ Motive Influence ติดต่อกลับ พูดคุยสอบถามและนำข้อมูลในแบบฟอร์มมาช่วยวิเคราะห์ถึง SWOT (Strengths, Weaknesses, Opportunities,Threats) ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ก่อนเริ่มสร้างแคมเปญทุกครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด

2. คัดเลือก Influencer ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแคมเปญออก ด้วยระบบเทคโนโลยี AI

ต้องบอกว่า Motive Influence เป็นเอเจนซีที่มีฐานข้อมูลใหญ่ที่สุดในประเทศด้วยฐานอินฟลูเอนเซอร์ 600,000 คน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า 6 แสนคน ที่เรามีจะเหมาะกับแคมเปญของลูกค้าทั้งหมด จึงได้นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยคัดครอง Influencer ที่ไม่ตามเกณฑ์ที่แบรนด์ตั้งไว้ออกไป เช่น ภาพลักษณ์ของอินฟลูฯ เหมาะสมกับแบรนด์ไหม?, คอนเทนต์ใน channel ของ Influencer มีความเหมาะสมหรือเปล่า? ฯลฯ เพื่อให้ได้อินฟลูฯ ที่ตอบโจทย์แคมเปญของแบรนด์มากที่สุด

3. คัดเลือก Influencer ที่ใช่ ตรงตามความต้องการของแบรนด์

เมื่อได้ลิสต์ Influencer ที่ตรงโจทย์ของแบรนด์แล้ว Motive Influence เอง นำระบบ AI ที่พัฒนาโดยทีม modeAI เข้ามาช่วยหา fraud follower, fraud engagement, fake follower, Demographic และตรวจสอบอินฟลูเอนเซอร์ที่มีปั๊มยอดผู้ติดตามหรือยอดการเข้าถึงไหม อีกทั้งยังมีทีมงานมากประสบการณ์คัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์ในด่านสุดท้าย เพื่อให้แบรนด์ได้ Influencer ที่มีคุณภาพ ทั้งการทำคอนเทนต์ ยอด engagement ดี ในการจัดทำแคมเปญ แน่นอนว่าเมื่อคัดเลือกอินฟลูเอนเซอร์แล้ว เราจะประสานงานพูดคุยกับอินฟลูฯ เพื่อให้ผลิตคอนเทนต์ออกมาได้ตรงคอนเซปต์ของแคมเปญ

4. ประเมินความคุ้มค่าที่แบรนด์จะได้รับ

Motive Influence จะมองความคุ้มค่าที่แบรนด์จะได้รับ ในงบประมาณของแคมเปญ ว่าอินฟลูเอนเซอร์คนนี้ เมื่อนำมาจัดทำแคมเปญการตลาดให้กับแบรนด์แล้ว เกิดความคุ้มกับแบรนด์แค่ไหน และหลังจบแคมเปญเจ้าของแบรนด์สามารถดู Report แบบ Insight เพื่อดูผลลัพธ์ของแคมเปญที่ทาง Motive Influence ได้นำเสนอ เพื่อให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์นำไปต่อยอดในการจัดทำแคมเปญครั้งหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับแบรนด์ที่กำลังวางแผนการตลาดสำหรับแบรนด์โดยใช้ Influencer ที่สร้าง engagement ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด Motive Influence พร้อมมอบความคุ้มค่าให้กับคุณ กดกรอกแบบฟอร์มที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้ได้เลย!

ซีเอสแอล ออโต้ ไทม์